iPhone 5 ในไทยระเบิด หลังซื้อใช้งานได้เพียง 2 เดือน

ข่าวสารด้านบัญชีและภาษีอากร

ข่าวสารด้านบัญชีและภาษีอากร

 

 

โดนคุณสุวิชา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะกำลังใช้ iPhone 5 โทรหาเพื่อนอยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนมีควัน ความร้อนและกลิ่น ซึ่งตอนแรกก็คิดว่า เป็นควันรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ไม่ใช่ แต่แล้ว ตาก็เหลือบไปเห็นว่า จริงๆ แล้ว ควันออกจากตัว iPhone 5 นั่นเองครับ ด้วยสัญชาติญาณ คุณสุวิชา เลยโยน iPhone 5 ทิ้งไปด้านหน้า หลังจากนั้น iPhone 5 ก็ระเบิดเสียงดังติดกัน 4 ครั้ง คล้ายประทัด ซักพักก็แน่นิ่งไป และมีควันสีดำออกมาในบริเวณที่เปิดออก ซึ่งสามารถระบุได้ว่า มีการไหม้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน จากนั้น คุณสุวิชา ก็หยิบ iPhone 5 ระเบิดดังกล่าว ขึ้นมาดู พบว่า ตัวเครื่องร้อน และซิมการ์ดไม่สามารถใช้งานได้ 

 

ในเบื้องต้นนั้น คุณสุวิชา ได้แจ้งไปที่คอลเซ็นเตอร์ของ AIS ซึ่งเป็นศูนย์ที่ซื้อ iPhone 5 เครื่องระเบิดดังกล่าวมา และได้เล่ารายละเอียดต่างๆ ให้ฟัง และสอบถามว่า จะต้องทำอย่างไรบ้าง โดยเจ้าหน้าที่ของ AIS ได้ตอบกลับมาว่า ต้องให้ช่างเช็คเครื่องก่อนว่า เกิดจากสาเหตุอะไร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ให้คุณสุวิชา ติดต่อศูนย์ AIS สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ จากนั้นก็เล่ารายละเอียดของการระเบิดให้ฟังอีกรอบ และนำเครื่อง iPhone 5 ระเบิด ให้ดูด้วย

 

โดยคุณสุวิชาเผยว่า รออยู่ที่ศูนย์ AIS สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ ประมาณชั่วโมงเศษๆ ก็ได้รับการแจ้งว่า ไม่มีช่าง ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากเอาเครื่องทิ้งไว้ และให้ทาง AIS ส่งไปที่ศูนย์ส่วนกลาง แต่ทางคุณสุวิชา ไม่ขอเอาเครื่องไว้ที่ศูนย์ แต่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทำซิมการ์ดมาใหม่แทน และขอเอาเครื่อง ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันก่อนว่า เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และทาง AIS จะจัดการเช่นไร ค่อยว่ากันอีกทีครับ

 

นอกจากนี้ คุณสุวิชา ยืนยันว่า ไม่เคยนำ iPhone 5 ไปเจลเบรค หรือใช้อุปกรณ์เสริมที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะตั้งแต่ซื้อมาในช่วง 2 เดือน ใช้งานแบบปกติทุกอย่าง ซึ่งคุณสุวิชา ได้ฝากไปถึง AIS ด้วยว่า อยากให้จัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นเคสที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น แต่ก็อยากให้องค์กร AIS ที่เกี่ยวข้องปรึกษากันว่า ควรจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร จึงทำให้คุณสุวิชา ไม่มั่นใจการจัดการปัญหาของ AIS จึงขอจัดการปัญหาดังกล่าวด้วยตนเองก่อน ด้วยการไปแจ้งความ และแชร์เรื่องราวผ่าน Facebook นั่นเองครับ

 

ส่วนทาง AIS จะจัดการปัญหาอย่างไร ต้องติดตามครับ

 

 ที่มา :: www.techmoblog.com