นางวิมลกานต์ โกสุมาศ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า การส่งออกของผู้ประกอบการกลุ่มเอสเอ็มอี ในเดือน ม.ค. มีมูลค่า 152,794 ล้านบาท ลดลง 1.41% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดหลักที่เอสเอ็มอีส่งออกสินค้ามากที่สุด ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน มูลค่า 42,801 ล้านบาท รองลงมากลุ่มสหภาพยุโรปมูลค่า 16,248.13 ล้านบาท จีน มูลค่า 16,026.12 ล้านบาท ญี่ปุ่น มูลค่า 14,695.04 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา มูลค่า 13,395.58 ล้านบาท
"ตลาดส่งออกหลักที่มีการขยายตัวสูงสุดได้แก่ สหรัฐอเมริกา ขยายตัวถึง 20.45% รองลงมาคือกลุ่มสหภาพยุโรป 5.90 % โดยเฉพาะประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีการขยายตัวสูงสุด และกลุ่มประเทศอาเซียน ขยายตัว 2.61% โดยประเทศสิงคโปร์มีการขยายตัวสูงสุด ส่วนสินค้าที่มีการส่งออกสูงสุด ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ รองลงมาคือ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ"
ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 180,406.64 ล้านบาท ลดลง 7.07% โดยตลาดที่เอสเอ็มอีนำเข้าสินค้าสูงสุด ได้แก่ จีน มูลค่า 58,493.43 ล้านบาท รองลงมา คือ กลุ่มประเทศอาเซียน มูลค่า25,829.48 ล้านบาท ญี่ปุ่น มูลค่า 24,468.69 ล้านบาท กลุ่มสหภาพยุโรป มูลค่า 20,267.98 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา มูลค่า 10,724.50 ล้านบาท สินค้าที่นำเข้าสูงสุด ได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก เหล็กและเหล็กกล้า
"สสว.ได้สถานการณ์เอสเอ็มอีในเดือนม.ค. พบว่า มีแนวโน้มดีขึ้น เห็นได้จากดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ อยู่ที่ระดับ 111.03 เพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. 57 0.06 จุด และเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่8 ผลจากการขยายตัวเพิ่มขึ้นของตัวแปรชี้นำ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปริมาณผลิตรถยนต์นั่งขนาด 1,501-1,800 ซีซี สะท้อนถึงการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้น ราคาขายปลีกน้ำมันลดลง ผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ต่ำและรัฐบาลปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยมาตรการกระตุ้นเอสเอ็มอีของรัฐบาล เชื่อว่าจะส่งผลให้ช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า เชื่อว่า เศรษฐกิจของเอสเอ็มอีจะมีทิศทางที่ดีขึ้น"
ที่มา : เดลินิวส์