พลังงานเตรียมตรึงแอลพีจีต่อ

ข่าวสารด้านบัญชีและภาษีอากร

ข่าวสารด้านบัญชีและภาษีอากร

 

นายณรงค์ชัย   อัครเศรณี  รมว.พลังงาน  เปิดเผยในงานเสวนา “ใช้พลังงานคุ้มค่าร่วมพัฒนาเศรษฐกิจไทย” จัดโดยบมจ.ปตท.ว่า ราคาก๊าซแอลพีจี ในเดือนเม.ย.นี้ เชื่อว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) จะพยายามรักษาระดับราคาปลายทางไม่ให้เปลี่ยนแปลงที่ระดับราคา24.16 บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่า ราคาก๊าซแอลพีจีในตลาดโลก จะปรับขึ้นก็ตามเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนส่วนราคาก๊าซเอ็นจีวี ตามนโยบายเดิมจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงราคาอยู่แล้ว จากปัจจุบันราคา13 บาทต่อกิโลกรัม แต่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้ และยังไม่สามารถระบุได้ว่า จะปรับเมื่อไร เนื่องจากกระทรวงคมนาคมได้ขอความร่วมมือในการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวี เพราะกระทบต่อราคาค่าขนส่ง 

 

ส่วนแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงพลังงานจะเร่งแผนการลงทุนด้านพลังงาน เพื่อให้เกิดเม็ดเงินการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนซึ่งขณะนี้ได้เร่งแก้ปัญหาทุก ล่าสุดที่ประชุม 3 การไฟฟ้า ได้กำหนดพื้นที่ก่อสร้างและแนวสายส่งไฟฟ้า ที่จะรับซื้อไฟฟ้าแล้ว โดยปีนี้ จะมีมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 2,000เมกะวัตต์ เมกะวัตต์ละ 60 ล้านบาท  รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 120,000 ล้านบาทและที่ผ่านมากระทรวงฯ มีแผนการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบ 21 ซึ่งจะเกิดมูลค่าการลงทุรนเป็นจำนวนมากแต่ขณะนี้ยังมีผู้ไม่เห็นด้วย จึงได้ชะลอการเปิดสัมปทานฯ ออกไปก่อน 

 

นายชวลิต  พิชาลัยผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สนพ. เตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)ในเดือนเม.ย. นี้ ขอให้เกลี่ยเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีประมาณ 37,000 ล้านบาทเพื่อนำมาเป็นเงินตั้งต้นสำหรับกองทุนก๊าซแอลพีจี เพื่อให้ก๊าซแอลพีจี สามารถดูแลตนเองไม่ต้องอุดหนุนข้ามกลุ่มในอนาคตเนื่องจากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนของก๊าซแอลพีจี มีวงเงินน้อยมาก เพราะเดือนมี.ค.ได้ลดเงินกองทุน ฯ จาก 0.53 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 0.35บาทต่อกิโลกรัม      

 

นายไพรินทร์ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ. ปตท. กล่าวว่า ในเดือนมี.ค.ประเทศไทย ใช้ก๊าซธรรมชาติในปริมาณสูงสุด ถึง 5,300 ล้านลูกบาศ์กฟุตต่อวันคาดว่า เดือนเม.ย.นี้ ซึ่งอากาศจะร้อนมากขึ้น คาดว่า จะใช้ก๊าซธรรมชาติสูงสุด ซึ่งปตท. พร้อมในการจัดหาก๊าซเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ     

 

ที่มา : เดลินิวส์