พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางมาประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าที่กระทรวงคมนาคมเมื่อเวลา 11.00 น. ภายหลังการประชุมเปิดแถลงข่าวและตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ตรวจมาตรฐานความปลอดภัยของกรมการบินพลเรือน ทำให้ญี่ปุ่นระงับการอนุญาตเพิ่มเที่ยวบินของไทย โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าระหว่างการเดินทางเยือนประเทศสิงคโปร์ได้มีการพบปะกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้มีการพดคุยเรื่องดังกล่าว โดยผู้นำทั้ง 2 ประเทศรับทราบและจะนำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาตามกฎหมายของแต่ละประเทศ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นยืนยันว่าสะสมมานาน ดูได้จากปริมาณการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินแต่ละปีในอดีตไทยมีเที่ยวบิน 300,000 เที่ยวบินต่อปี แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 600,000 เที่ยวบินต่อปี ส่วนเรื่องการตรวจมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน มีเจ้าหน้าที่ทำงานน้อยมาก มีเพียง 13 คน ขณะที่อดีตที่ผ่านมาฝ่ายการเมืองปล่อยปละละเลย ทำให้กลายเป็นปัญหาสะสม ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ ยืนยันว่าจะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พร้อมจะใช้อำนาจตามมาตรา 44 ซึ่งในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถสั่งการตามกฎหมายได้ทุกเรื่อง โดยจะมีการสั่งให้ตั้งคณะกรรมการพิเศษ 1 ชุด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายแก้ไขข้อบกพร่องของกรมการบินพลเรือนให้เป็นไปตามที่ไอซีเอโอกำหนด อย่างไรก็ตาม หากเรื่องดังกล่าวยังไม่สามารถแก้ปัญหาให้เป็นที่พอใจของไอซีเอโอ และจะมีมาตรการออกมาเพิ่มก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องความปลอดภัย หากการผ่อนผันทำให้เกิดอุบัติเหตุใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ส่วนผลกระทบต่อผู้ประกอบการทัวร์ท่องเที่ยวที่มีการรับจองแล้วนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณามาตรการเยียวยาต่อไป ยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวหากไม่ได้ข้อยุติเป็นที่พอใจของไอซีเอโอก็จะส่งผลกระทบทำให้นักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นมีปริมาณลดลงในปีนี้
สำหรับคณะกรรมการพิเศษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะเป็นประธาน เพิ่มบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทั้งว่าจ้างจากต่างประเทศเข้ามาแก้ปัญหาที่ไอซีเอโอต้องการ ส่วนกรมการบินพลเรือนเป็นหน่วยงานที่มีปัญหาโครงสร้างและบุคลากรไม่เพียงพอทำงานด้านนี้นั้น ได้มีการสอบถามอธิบดีกรมการบินพลเรือนว่าทำไมถึงปล่อยปัญหาดังกล่าว อธิบดีฯ ยืนยันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเสนอให้รัฐบาลในอดีตหลายรัฐบาลเพิ่มอัตรากำลังและเจ้าหน้าที่ด้านนี้ แต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นปัญหาสะสมมานานไม่ได้รับความสนใจ จึงเป็นปัญหาใหญ่ในวันนี้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้พูดถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการอะไรอีกหรือไม่ ยืนยันเร่งรัดงบประมาณจากภาครัฐไปแล้ว แต่การเบิกจ่ายต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระบบการทำงานของราชการ โดยเชื่อว่าไตรมาส 2 และ 3 เมื่อเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น.
ที่มา : สำนักข่าวไทย