น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 3.56 ดอลลาร์ ปิดที่ 50.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 3.55 ดอลลาร์ ปิดที่ 55.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ความเคลื่อนไหวที่ดิ่งลงอย่างหนักของราคาน้ำมัน เกิดขึ้นหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯเผยแพร่ข้อมูลคลังน้ำมันดิบสำรองรายสัปดาห์ ที่เผยให้เห็นว่าสต๊อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเกือบ 11 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 482.4 ล้านบาร์เรล ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง
นอกจากนี้แล้วราคาน้ำมันยังถูกฉุดโดยถ้อยแถลงของอาลี อัล-ไนมี รัฐมนตรีพลังงานซาอุดีอาระเบีย ที่เผยว่ากำลังผลิตของซาอุดีอาระเบียพุ่งขึ้นแตะ 10.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนมีนาคม สูงสุดเท่าที่เคยมีมา แม้โลกอยู่ในภาวะอุปทานล้นตลาดและราคาน้ำมันตกต่ำ
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันพุธ (8เม.ย.) ปิดบวกเล็กน้อย จากข่าวการซื้อกิจการของรอยัลดัตช์เชลล์ และโอกาสที่จะเกิดข้อตกลงสำคัญในภาคอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ ที่กลบความกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทต่างๆและนโยบายทางการเงินของอเมริกา
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 27.09 จุด (0.15 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,902.51 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 5.57 จุด (0.27 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,081.90 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 40.59 จุด (0.83 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,950.82 จุด
ตลาดทุนได้แรงหนุนจากคำแถลงของเชลล์ ที่บอกว่าจะทุ่มเงิน 70,000 ล้านดอลลาร์เข้าซื้อบีจีกรุ๊ป และข่าว มายแลน บริษัทยาสามัญจะเข้าซื้อกิจการของพอร์ริโก ในมูลค่า 28,900 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามวอลล์สตรีทถูกฉุดโดยความกังวลที่ว่าผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทต่างๆที่จะเริ่มเปิดเผยในระยะนี้ จะออกมาอ่อนแอ
ส่วนราคาทองคำเมื่อวันพุธ (8เม.ย.) ขยับลงพอสมควร หลังรายงาน minutes ของที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯเร็วๆนี้ บ่งชี้ว่าเหล่าสมาชิกของเฟดมีความเห็นแตกแยกเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 7.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,203.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์