การลงทุนภาครัฐ…จุดสตาร์ทเศรษฐกิจไทย

ข่าวสารด้านบัญชีและภาษีอากร

ข่าวสารด้านบัญชีและภาษีอากร

นายธิติ เกตุพิทยา

 

          ในช่วงปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า การส่งออกอ่อนแรงตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวเปราะบาง ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งจากของโลกที่ประเทศเศรษฐกิจหลักพึ่งพาการนําเข้าลดลง และของไทยเองที่ภาคอุตสาหกรรมส่งออกสําคัญไม่มีการลงทุนในสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อนเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ขณะที่ครัวเรือนก็จับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวังเพราะมีการก่อหนี้สะสมไว้สูง การส่งออกและการบริโภคครัวเรือนที่อ่อนแรงลงมีส่วนทําให้นักธุรกิจชะลอการลงทุนออกไปก่อน ดังนั้น หลายฝ่ายจึงฝากความหวังไว้ที่ภาครัฐที่จะเร่งใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุน เพื่อจุดประกายให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวอื่น และเรียกความเชื่อมั่นภาคเอกชนให้กลับคืนมา

 

          ภาครัฐเองตระหนักดีถึงบทบาทสําคัญดังกล่าว จึงพยายามออกมาตรการเร่งรัดการใช้จ่าย ทั้งการเร่งให้หน่วยงานรัฐทําสัญญาจัดซื้อจัดจางตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ ทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 1 และ 2 โดยเน้นการลงทุนในโครงการซ่อมแซม ก่อสร้างขนาดเล็กเพื่อให้เม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจได้เร็ว รวมถึงการใช้มาตรการกึ่งการคลังช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม อาทิมาตรการเพิ่มรายได้และดูแลปัญหาหนี้ของเกษตรกร มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือ SMEs ความพยายามของรัฐบาลเริ่มเห็นผล การเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐบาลที่ทําได้ดีขึ้นในเดือน ก.พ. และ มี.ค. 58 ซึ่งถ้าสามารถทําได้ต่อเนื่องก็น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้

 

          อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐยังจําเป็นต่อการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในระยะยาว จากรายงานของ IMD พบว่า ไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อาทิ มาเลเซีย อุปสรรคที่สําคัญ คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภค วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สุขภาพ และการศึกษา อุปสรรคเหล่านี้ล้วนสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยที่ต้องวางนโยบายในการแก้ปัญหาให้ตรงจุดและดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา รัฐบาลปัจจุบันได้ตระหนักถึงบทบาทในระยะยาวนี้เห็นได้จาก

 

          (1) การวางกรอบเพื่อเพิ่มสัดส่วนงบลงทุนในงบประมาณปี 2559 จากร้อยละ 17.5 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 20 ของวงเงินงบประมาณปี 2559 ซึ่งนับว่าสูงกว่าจากค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ร้อยละ 16.3

 

          (2) แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งชัดเจนขึ้นเป็นลําดับ ครม. ได้อนุมัติแผนระยะ 8 ปี (2558-65) วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท รวมถึงการจัดทําแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ของ 59 โครงการเร่งด่วน วงเงิน 8.5 แสนล้านบาท (ตามตาราง) โดยคาดว่าจะเริ่มดําเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 นี้นอกจากนี้ โครงการรถไฟตามความร่วมมือกับจีนและญี่ปุ่นมีความชัดเจนมากขึ้น โดยแผนการลงทุนระยะยาวที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้จะช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมการเชื่อมโยงเครือข่ายการขนส่งในประเทศและระหว่างภูมิภาค และการเชื่อมโยงไปยังยุทธศาสตร์การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะช่วยให้ภาคเอกชนวางแผนการลงทุนในอนาคตได้อย่างมั่นใจขึ้น

 

 

          หากรัฐทําได้ตามแผนฯ นี้ก็จะช่วยลดต้นทุนด้าน logistics ของประเทศลงได้มาก เพราะกว่าครึ่งเป็นการลงทุนทางรางซึ่งมีต้นทุนการขนส่งอยู่ที่ 0.93 บาทต่อตัน-กม. ต่ำกว่าต้นทุนการขนส่งทางถนนเกือบ 1 เท่า

 

          (3) การเดินหน้าปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้ตอบสนองพันธกิจหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการเร่งแก้ปัญหารัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนสูง และการลดทุจริตคอร์รัปชันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเริ่มนําสัญญาคุณธรรม (Integrity Pact) และมาตรฐานความโปร่งใสของ CoST มาใช้กับโครงการนําร่อง เช่น โครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายซึ่งหากการปฏิรูปทําได้ตามแผนจะช่วยให้การลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่เป็นครึ่งหนึ่งของการลงทุนภาครัฐมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าขึ้น

 

         อาจพอสรุปได้ว่า ความหวังจากการลงทุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มชัดเจนขึ้นเป็นลําดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่ติดขัดมาพักใหญ่เริ่มเห็นผล ขณะที่ในระยะยาวแผนการลงทุนโครงการด้านคมนาคมขนส่งก็เป็นรูปธรรมขึ้น เช่นเดียวกับการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจก็กําลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายความริเริ่มด้านนโยบายเศรษฐกิจที่สําคัญซึ่งรัฐบาลพยายามผลักดัน โดยเฉพาะการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น การตั้งเป้างบลงทุน R&D ของประเทศในปี 2559 ให้ได้ 1% ของ GDP เพิ่มจากปัจจุบันที่ 0.47% และการเร่งผลักดันนโยบาย Digital Economy หากรัฐบาลสามารถกําหนดทิศทางนโยบาย และ Action plan ที่ชัดเจนเช่นเดียวกับการขับเคลื่อนแผนด้านคมนาคมขนส่ง จะช่วยให้ภาคส่วนต่างๆ มีบทบาทร่วมยกระดับศักยภาพประเทศให้สามารถแข่งขันได้โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

          ในอนาคต รัฐจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกําหนดเป้าหมายภาพรวมของประเทศให้เป็นรูปธรรมและบรรลุได้จริง โดยมียุทธศาสตร์และ Action plan ในแต่ละด้านที่สามารถติดตามความคืบหน้าได้ รวมถึงต้องมีการสื่อสารให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้าใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศเพื่อช่วยกระตุ้นให้เครื่องยนต์อื่นกลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป

------------------------------------------------------------------

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จําเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

 

บทความโดย : นายธิติ เกตุพิทยา

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT)