นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวก่อนหน้านี้ ไทยพาณิชย์ได้แตะเบรกชะลอคันเร่งในการเดินหน้าการทำธุรกิจและธุรกรรมต่างๆ เพราะสภาวะของตลาดไม่เอื้ออำนวย และการกันเงินสำรองไว้สำหรับกรณีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ทำให้ผลประกอบการรวมในไตรมาส 1 ของปี 2558 มีกำไรสุทธิประมาณ 13,200 ล้านบาท เติบโตเพียง 0.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิประมาณ 13,100 ล้านบาท หรือเติบโต 7.5% จากไตรมาส 4 ของปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิประมาณ 12,200 ล้านบาท
“ช่วงที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจของธนาคาร จึงต้องใช้นโยบายที่รัดกุมเอาไว้ก่อน โดยในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ไทยพาณิชย์ได้ชะลอการให้สินเชื่อ ทั้งสินเชื่อรถยนต์มือ 2 สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต เพราะเห็นว่าระดับหนี้ครัวเรือนโดยทั่วไปยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น ในช่วงนี้ก็จะทำให้เริ่มเห็นว่าสถาบันการเงินแห่งใดไปบุกหนักเรื่องสินเชื่อในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวก็จะเริ่มออกอาการกันในช่วงนี้”
นายญนน์กล่าวว่า แม้ว่าการแตะคันเร่งของธนาคารจะทำให้กำไรในไตรมาสที่ 1 ไม่ได้ขยายตัวมากนัก แต่สถานะการเงินโดยรวมของไทยพาณิชย์ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ในตลาด หลักทรัพย์ยังคงสูงสุดในกลุ่มสถาบัน การเงินของประ-เทศไทย โดยมีมูลค่า ณ วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา รวมประมาณ 605,000 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ 2.1-2.3% ของยอดสินเชื่อรวม
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงสิ้นปีนี้ ประเมินว่า การเติบโตของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปีนี้จะอยู่ที่ 3% ในขณะที่ การส่งออกตัวเลขสิ้นปีน่าจะติดลบที่ 1.3% เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งขณะนี้มีสหรัฐฯเพียงประเทศเดียวที่ยังดีอยู่ แต่ไทยยังมีข้อดี เพราะยังได้การท่องเที่ยวเข้ามาชดเชยการส่งออกที่หดตัว จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามามากกว่าปกติ แม้ว่ากำลังการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะต่ำกว่านักท่องเที่ยวจากยุโรปหรือสหรัฐฯ แต่ก็จะยังพอมีรายได้เข้ามาชดเชยประเทศ ในขณะที่รัฐบาลยังพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่จุดสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคและนักลงทุน
ทั้งนี้ หากดูจากตลาดสินค้าทั่วไปพบว่า กลุ่มรถยนต์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว หลังจากหมดอานิสงส์จากโครงการรถยนต์คันแรก ซึ่งจุดต่ำสุดทำให้ราคารถยนต์ใหม่สูงกว่ารถยนต์เก่าเพียง 10% เท่านั้น แต่ขณะนี้ส่วนต่างกลับมาที่ 30-50% แล้ว ขณะที่โรงงานต่างๆเริ่มกลับมาผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งตนมองว่า นี่คือสัญญาณที่ดี
“เชื่อว่าวันนี้เป็นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยแล้ว และเข้าสู่ระยะการฟื้นตัว จุดสำคัญคือ เราทุกคนจะต้องช่วยกันดึงความเชื่อมั่นของประชาชน และนักลงทุนกลับมา ดูจากสัญญาณสินเชื่อไตรมาส 1 ของไทยพาณิชย์ปีนี้ อยู่ที่ 1.81 ล้านล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 4.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตขึ้น 1.8% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยสินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นมาจากสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เป็นหลัก ขณะที่สินเชื่อกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เริ่มมีสัญญาณกลับคืนมา และอีก 3 เดือนข้างหน้า ธนาคารจะมีการทบทวนแผนอีกครั้ง”
นายญนน์กล่าวว่า ในอนาคตไทยพาณิชย์จะมุ่งสู่การเป็นดิจิตอล แบงกิ้ง หรือการอำนวยความสะดวกลูกค้าในการทำธุรกิจทางการเงินบนระบบดิจิตอลเต็มรูปแบบ ตามทิศทางของโลกอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะปัจจุบันผู้คนต้องการความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะการบริการทางการเงิน ซึ่งเกี่ยวกันกับการแข่งขันทางธุรกิจที่มีความรวดเร็วมากขึ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารจะลงทุนระบบไอที เพื่อการจำแนกและประเมินลูกค้า โดยเฉพาะการให้สินเชื่อลูกค้า ให้เข้าถึงลูกค้าของธนาคารได้อย่างแท้จริง
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า หากภาวะเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว และตลาดกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ก็พร้อมที่จะกลับเข้ามาสู่ตลาดอีกครั้งไม่ว่าจะในรูปแบบใด โดยมั่นใจว่าขีดความสามารถของไทยพาณิชย์สามารถกลับเข้ามาครองตลาดได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลใช้ความกล้าหาญกดปุ่มเดินหน้าลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจกต์ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ โดยไม่ต้องอาศัยความต้องการสินค้าไทยจากตลาดโลกเพียงลำพัง ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นตัวช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลาง หรือฮับของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะอันใกล้ มองว่า หากมีการจัดการเลือกตั้งขึ้นในช่วงปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบ เพราะขณะนี้รัฐยังไม่มีความริเริ่มใดๆทางเศรษฐกิจ ดังนั้น หากมีการเลือกตั้ง เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะเกิดสุญญากาศ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังต้องได้รับการกระตุ้น เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ไป รัฐบาลใหม่มาก็ยังต้องใช้เวลาเตรียมการ จึงจะไม่มีการตัดสินใจใดๆทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ก่อนจะจัดการเลือกตั้งใหม่ ควรมีการวางโครงสร้างกันให้ดีกว่านี้
“ยกตัวอย่างการลงทุนของภาครัฐที่ผ่านมา เรามีรถไฟฟ้าแค่เพียงสายเดียว ยังพลิกโฉมหน้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไปอย่างมาก วันนี้มีโครงการรถไฟฟ้าสารพัดสี สิ่งที่ตามมาจะมีผลดีมากขนาดไหน”.
ที่มา : ไทยรัฐฉบับพิมพ์