นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังแถลงการจัดงาน Thailand Industry Expo 2015 หรือมหกรรมซื้อของไทยใช้ของดี ระหว่างวันที่ 22-27 กันยายนนี้ อิมแพค เมืองทองธานี ว่า เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตร้อยละ 3 โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมาขยายตัวร้อยละ 3 แต่เศรษฐกิจนอกระบบไม่นับรวมในจีดีพีหายไป ทำให้การใช้จ่ายส่วนนี้หายไป ด้านการส่งออกแม้ที่ผ่านมาจะติดลบร้อยละ 4 แต่ทั้งปีเชื่อว่าจะไม่ติดลบซึ่งครึ่งหลังจะเป็นบวก ทำให้เฉลี่ยทั้งปีเท่ากับปีที่ผ่านมาหรือขยายตัวร้อยละ 0
ดังนั้น เศรษฐกิจไทยจึงขึ้นอยู่กับการบริโภค การผลิต และการใช้จ่ายของภาครัฐ ในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งทางบก ทางน้ำ และอากาศ โดยขณะนี้มีสัญญาณการเตรียมตัวของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องการก่อสร้าง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมออกประทานบัตรวัสดุก่อสร้าง เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่แล้ว ปีหน้าเมื่อการก่อสร้างเกิดขึ้นจริง เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและนักลงทุนระยะยาว สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศภาพรวมไม่น่าห่วงแม้ปีนี้จะลดลง เนื่องจากปีที่ผ่านมามีการขอมามากถึง 2 ล้านล้านบาท เพราะเป็นการเร่งขอก่อนสิ้นสุดนโยบายส่งเสริมการลงทุนชุดเก่าที่ปีนี้จะเน้นเทคโนโลยีสูงขึ้น
สำหรับการลงทุน ขณะนี้เริ่มเตรียมตัวลงทุนและจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยระยะต่อไป จึงมั่นใจว่าด้านการลงทุนจากต่างประเทศของไทยไม่ได้ชะงักแต่อย่างใด ส่วนการลงทุนที่ไม่ขอบีโอไอ ปรับตัวดีขึ้นอย่างน่าพอใจ สะท้อนได้จากการออกใบอนุญาต รง.4 ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันออกไปแล้วกว่า 4,000 ใบ มีการลงทุนแล้วถึงร้อยละ 60 สะท้อนถึงการลงทุนยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนการอนุญาตให้ภาคเอกชนทำธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ จะช่วยให้เอสเอ็มอีขนาดเล็กมากที่ไม่สามารถเข้าถึงสถาบันการเงินได้ก็จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น
ด้านสินค้าเกษตร ราคายางพาราก็ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่กิโลกรัมละกว่า 60 บาท ขณะที่ข้าว หากมีการระบายสตอกเก่าก็จะทำให้ราคาปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งภัยแล้งก็จะทำให้ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งกว่าหลายประเทศนั้น เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง ทำให้ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้เงินบาทแข็งค่า
นายจักรมณฑ์ กล่าวถึงการจัดงานมหกรรมซื้อของไทยใช้ของดี ว่า ปีนี้จะมีผู้ประกอบการกว่า 1,400 รายเข้าร่วมและจำหน่ายสินค้า มีทั้งผู้ประกอบการขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี และโอทอป ประเมินจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 300,000 คน เงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาประมาณ 300 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยปีนี้ดีกว่าปีที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจติดลบ และเป็นการคืนความสุขให้กับประชาชน อีกทั้งเป็นการบอกว่ากำลังซื้อยังมี เพียงแต่ความรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดีจึงไม่อยากใช้จ่าย การจัดงานจะเป็นการพิสูจน์ว่ากำลังซื้อยังมี ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายกลับมาสู่ภาวะปกติ.
ที่มา : สำนักข่าวไทย